มีคำเปรียบเปรยที่ว่า “โอมากาเสะ (Omakase) ไม่ใช่แค่การกินซูชิแบบดั้งเดิม แต่เปรียบเหมือนการชื่นชมงานศิลปะ ดื่มด่ำกับรสชาติที่ดีที่สุด และไว้วางใจให้เชฟอิตามาเอะ (Itamae) รังสรรค์มื้ออาหารสุดพิเศษจากวัตถุดิบชั้นเลิศให้กับคุณ” นั่นอาจทำให้นักชิมมือใหม่หลายคนรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อต้องกินโอมากาเสะครั้งแรก เรามีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นที่จะติวเข้ม “เคล็ดลับการกินโอมากาเสะ” ตั้งแต่การจองไปจนถึงคำสุดท้าย เพื่อประสบการณ์ที่น่าจดจำและคุ้มค่าที่สุดสำหรับคุณ

Part 1: เตรียมตัวให้พร้อมก่อนไปถึงร้านโอมากาเสะ

ทราบไหมว่า ประสบการณ์โอมากาเสะที่ดีเริ่มต้นก่อนที่คุณจะก้าวเข้าร้านเสียอีก จริง ๆ แล้วเรื่องราวของ ‘โอมากาเสะ’ ไม่ได้เริ่มต้นเมื่อคุณนั่งลงหน้าเคาน์เตอร์อย่างที่คิด แต่เริ่มตั้งแต่การจองโต๊ะและการเตรียมตัวก่อนไปกินโอมากาเสะ นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะแจ้งให้ทางร้านทราบถึงความต้องการของคุณ เพื่อให้เชฟมีเวลาเตรียมการรังสรรค์เมนูพิเศษที่ดีที่สุดสำหรับคุณ เคล็ดลับในการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนไปกินโอมากาเสะ มีดังนี้

งดฉีดน้ำหอม สูบบุหรี่ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นแรง: หัวใจของโอมากาเสะคือ ‘รสชาติ’ และ ‘กลิ่น’ เพื่อช่วยส่งเสริมการกินโอมากาเสะของคุณให้สมบูรณ์แบบ การฉีดน้ำหอม สเปรย์แต่งผม กลิ่นบุหรี่ หรือแม้แต่โลชั่นบำรุงผิวที่มีกลิ่นแรง อาจรบกวนการรับรสและกลิ่นอาหารของทั้งคุณ เพื่อนร่วมโต๊ะ และเชฟอีกด้วย

จองล่วงหน้าเสมอ: ร้านโอมากาเสะส่วนใหญ่มีที่นั่งจำกัด (มักจะเป็นหน้าเคาน์เตอร์บาร์) และต้องเตรียมวัตถุดิบพรีเมียมวันต่อวัน คุณจึงจำเป็นต้องจองที่นั่งล่วงหน้าเสมอ แนะนำให้จองล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ หากเป็นร้านที่มีชื่อเสียงอาจจะต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน โดยเฉพาะวันศุกร์-เสาร์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือช่วงเทศกาลต่าง ๆ

แจ้งเรื่องการแพ้อาหาร: หากคุณแพ้อาหารชนิดใด เช่น กุ้ง, หอย, ไข่ปลา หรือวัตถุดิบบางชนิดที่ไม่สามารถกินได้จริง ๆ เช่น เนื้อวัว ให้แจ้งกับทางร้าน ณ ตอนที่ทำการจอง เพื่อให้เชฟจัดเตรียมวัตถุดิบพิเศษอื่น ๆ แทนให้กับคุณ

ตรงต่อเวลา: คอร์สโอมากาเสะเปรียบเสมือนการแสดงที่เริ่มต้นขึ้นพร้อมกัน การไปถึงร้านตรงเวลา (หรือก่อนเวลาอย่างน้อย 10-15 นาที) แสดงถึงการเคารพเชฟและลูกค้ารอบอื่น ๆ หากคุณไปสายอาจทำให้พลาดบางเมนู หรือแม้แต่รบกวนจังหวะในการทำอาหารของเชฟและลูกค้าท่านอื่น ๆ ได้

Part 2: ศิลปะแห่งการกินโอมากาเสะ เพื่อรสชาติที่ดีที่สุด

เมื่อมาถึงที่นั่งหน้าเคาน์เตอร์แล้ว การผจญภัยที่แท้จริงก็เริ่มต้นขึ้น ทันทีที่ซูชิคำงามถูกวางลงตรงหน้า เวลาของมันได้เริ่มนับถอยหลัง... เชฟปรารถนาให้คุณได้สัมผัสรสชาติในช่วงเวลาที่ดีที่สุด ซึ่งมักจะเป็นภายในไม่กี่วินาทีหลังจากเสิร์ฟ นี่คือช่วงที่อุณหภูมิของเนื้อปลาและข้าวกำลังสมดุลพอดี สาหร่ายยังคงกรอบกรุบ และซอสยังคงเคลือบเงางาม

เชฟคือไกด์นำทางของคุณ: เชฟไม่ใช่แค่คนทำอาหาร แต่คือผู้เล่าเรื่อง เขาจะคอยแนะนำว่าปลาที่เสิร์ฟคืออะไร มาจากที่ไหน และมีรสชาติโดดเด่นอย่างไร อย่าลังเลที่จะถามคำถามด้วยความสุภาพ การมีปฏิสัมพันธ์กับเชฟเป็นส่วนหนึ่งของความสนุกกินทันทีที่เสิร์ฟ: เมื่อเชฟวางซูชิ (Nigiri) ลงบนจานตรงหน้าคุณ ควรทานภายใน 30 วินาที นี่คือช่วงเวลาที่อุณหภูมิของข้าวและปลาสมดุลที่สุด และหากมีสาหร่าย (Nori) ก็จะยังคงความกรอบอร่อย

• กินทันทีที่เสิร์ฟ: เมื่อเชฟวางซูชิ (Nigiri) ลงบนจานตรงหน้าคุณ ควรทานภายใน 30 วินาที นี่คือช่วงเวลาที่อุณหภูมิของข้าวและปลาสมดุลที่สุด และหากมีสาหร่าย (Nori) ก็จะยังคงความกรอบอร่อย

• กินด้วยมือ หรือ ตะเกียบ: คุณอาจจะลังเลว่าจะใช้มือหรือตะเกียบดี แท้จริงแล้ว การใช้ปลายนิ้วบรรจงหยิบซูชิขึ้นมานั้นคือวิถีดั้งเดิมที่สืบทอดกันมา มันทำให้เราสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลของชิ้นปลาและความอุ่นกำลังดีของเม็ดข้าว แต่หากไม่ถนัด การใช้ตะเกียบก็งดงามไม่แพ้กัน สิ่งสำคัญกว่าคือการนำซูชิทั้งคำเข้าปากในคราวเดียว เพื่อให้ทุกองค์ประกอบที่เชฟบรรจงสร้างสรรค์ได้ผสมผสานกันอย่างลงตัวบนลิ้นของคุณทานในคำเดียว: เชฟได้ปั้นซูชิแต่ละคำให้มีขนาดพอดีสำหรับหนึ่งคำ การทานทั้งคำในครั้งเดียวจะทำให้คุณได้รับรสชาติที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวตามที่เชฟตั้งใจไว้ ทั้งรสของปลา ข้าว และซอ

• ไม่ควรจิ้มโชยุ หรือวาซาบิ: เพราะซูชิในคอร์สโอมากาเสะผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถันมาอย่างดี เชฟจะทาโชยุสูตรพิเศษ (Nikiri Shoyu) และใส่วาซาบิเล็กน้อยมาให้เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างอยู่ในรสชาติที่สมบูรณ์แบบที่สุด การนำไปจิ้มโชยุเพิ่มอาจถูกมองว่าเป็นการไม่เชื่อใจในฝีมือของเชฟ
• หากจำเป็นต้องจิ้มจริงๆ ให้ใช้ส่วนของ "เนื้อปลา" จิ้มลงไปเพียงเล็กน้อย ห้ามใช้ส่วนของ "ข้าว" จิ้มเด็ดขาด เพราะข้าวจะอุ้มโชยุมากเกินไปจนเสียรสชาติและอาจทำให้ข้าวแตกออกจากกัน
• ขิงดอง (Gari) มีไว้ทำไม?: ขิงดองไม่ได้มีไว้กินคู่กับซูชิ แต่มีไว้สำหรับล้างปาก (Cleanse the palate) ระหว่างคำ เพื่อเตรียมลิ้นของคุณให้พร้อมสำหรับรสชาติของปลาชนิดต่อไป

ศิลปะของการเป็นแขกที่ดี: ข้อควรรู้และมารยาทที่ไม่ควรมองข้าม

เพื่อให้ประสบการณ์ของคุณและคนรอบข้างราบรื่นที่สุด นี่คือมารยาทเล็กๆ น้อยๆ ที่ควรใส่ใจ

• การถ่ายรูป: สามารถถ่ายรูปได้ แต่ควรทำอย่างรวดเร็ว ปิดเสียงชัตเตอร์ และ "ห้ามเปิดแฟลช" เด็ดขาด เพราะแสงแฟลชจะรบกวนสมาธิของเชฟและลูกค้าท่านอื่น
• การใช้โทรศัพท์: งดการคุยโทรศัพท์เสียงดัง หรือเปิดดูวิดีโอ ควรตั้งค่าเป็นโหมดสั่นและใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น
• การวางตะเกียบ: เมื่อไม่ได้ใช้งาน ให้วางตะเกียบลงบนที่พักตะเกียบ (Hashioki) อย่างเป็นระเบียบ อย่าปักตะเกียบไว้บนถ้วยหรือวางพาดบนจาน
• อย่าส่งอาหารด้วยตะเกียบต่อตะเกียบ: ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น การกระทำนี้คล้ายกับพิธีการในงานศพ หากต้องการแบ่งปันอาหาร ให้คีบไปวางไว้บนจานของอีกฝ่ายแทน
• ดื่มสาเกหรือเครื่องดื่มอื่น: สามารถสั่งเครื่องดื่มมาทานคู่กันได้ หากไม่แน่ใจ ลองขอคำแนะนำจากเชฟหรือพนักงานว่าเครื่องดื่มชนิดไหนเหมาะกับคอร์สในวันนั้น
• เมื่อทานเสร็จ: กล่าวขอบคุณเชฟ ("Gochisousama deshita" - โกะชิโซซามะ เดชิตะ) เพื่อแสดงความขอบคุณสำหรับมื้ออาหารที่ยอดเยี่ยม

หัวใจของโอมากาเสะคือ "ความไว้วางใจ" จงเปิดใจ ผ่อนคลาย และปล่อยให้เชฟนำทางคุณไปสู่การเดินทางแห่งรสชาติ อย่ากลัวที่จะถาม อย่ากังวลว่าจะทำผิดพลาด เชฟส่วนใหญ่ยินดีที่จะให้คำแนะนำกับลูกค้าใหม่อยู่แล้ว เพียงแค่คุณปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ ประสบการณ์โอมากาเสะครั้งแรกของคุณจะกลายเป็นมื้ออาหารที่แสนพิเศษและน่าประทับใจอย่างแน่นอน!

ท้ายที่สุดแล้ว โอมากาเสะไม่ใช่การกินอาหารตามกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัด แต่คือการแลกเปลี่ยนความไว้วางใจระหว่างเชฟกับผู้มาเยือน ขอเพียงคุณปล่อยวางความกังวล เปิดประสาทสัมผัสให้กว้าง และปล่อยให้หัวใจได้เดินทางไปกับเรื่องราวที่เชฟกำลังบอกเล่าผ่านรสชาติ แล้วคุณจะพบว่า นี่เป็นมากกว่ามื้ออาหาร แต่มันคือความทรงจำอันล้ำค่าที่จะคงอยู่ไปอีกนาน

📍 Yuzu Omakase Thailand
 2F, 258/9-10 Siam Square Soi 3, Pathumwan, Bangkok


📞 Phone: 063-898-8989


🌐 Website: www.yuzuomakase.com